1.แก้ไขน้ำหนักของรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจากเดิม 1,600 กิโลกรัม เป็น 2,200 กิโลกรัม ไม่ต้องขับในช่องเดินรถด้านซ้ายสุดหรือช่องที่ใกล้เคียงกับช่องเดินรถประจำทาง
2.ผู้โดยสารในรถทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
จากเดิมกำหนดเฉพาะผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าเท่านั้น
3.ให้ตำรวจออกหนังสือแจ้งเตือนผู้ขับขี่ที่ไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งให้มาชำระค่าปรับภายใน
15 วัน
หากยังไม่ปฏิบัติตามก็ให้ชะลอการรับชำระภาษีประจำปีไว้ก่อน
โดยให้นายทะเบียนมีอำนาจยึดหรือพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของบุคคลนั้น
4.ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรมีอำนาจสั่งให้ทดสอบลมหายใจ ปัสสาวะ เลือด
หรือวิธีการอื่นว่าผู้ขับขี่สุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่
5.สามารถยึดรถที่ใช้ในขณะกระทำความผิดในบางข้อหาได้ เช่น เมาแล้วขับ
ขับรถประมาทหวาดเสียว แข่งรถ
โดยเจ้าของรถต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษารถเอง
6.เพิ่มโทษความผิดฐานแข่งรถโดยมิได้รับอนุญาต จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 6,000 ? 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 เดือนหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
จากเดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับ 2,000 ? 10,000 บาท
7.รวมกลุ่มหรือมั่วสุมแข่งรถโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับ 3,000 ? 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
8.เพิ่มโทษความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอื่นๆ เป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 10,000 ? 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือเพิกถอนใบอนุญาตและยึดรถในชั้นศาล
(ไม่เกิน 7 วัน) ด้วย จากเดิมจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 ? 20,000 บาท
9.เมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ จำคุก 1 ? 5 ปี ปรับ 20,000 ? 100,000 บาท พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1
ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต
เมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสจำคุก 2 ? 6 ปี ปรับ 40,000 ? 120,000 บาท พักใช้ใบอนุญาตไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต เมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 3 ? 10 ปี ปรับ 60,000 ? 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
10.ผู้บังคับการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ได้
ซึ่งผู้สั่งยึดใบขับขี่อาจบันทึกการยึดและคะแนน
ดำเนินการอบรมทดสอบผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำตั้งแต่ 2 ครั้งใน 1 ปี
รวมทั้งสั่งพักการใช้ใบอนุญาตขับขี่ที่เสียคะแนนมากของผู้ขับขี่นั้นโดยมีกำหนดครั้งละไม่เกิน 90วัน
11.ผู้ขับขี่ที่กระทำความผิดซ้ำภายใน 1
ปี ให้เพิ่มจำนวนค่าปรับขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 2 เท่าของจำนวนค่าปรับที่ได้ชำระในความผิดครั้งก่อน
12.ผู้ประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยรถแท็กซี่ที่ไม่จอดรถ ณ
สถานที่ที่กำหนด โทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท จากเดิม 1,000
กฎหมาย ม.44 (จราจรทางบก)
1. เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ภายใต้การควบคุมดูแลของบุคคลดังกล่าว
มีอํานาจเคลื่อนย้ายรถที่หยุดหรือจอดอยู่อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
หรือใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถดังกล่าวได้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติกําหนด
การเคลื่อนย้ายรถหรือใช้เครื่องมือบังคับให้รถที่หยุดหรือจอดอยู่ไม่ให้เคลื่อนย้ายได้ตามวรรคสอง
เจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ไม่ต้องรับผิดสําหรับความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามมาตรานี้
เว้นแต่ความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นจากการกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่ต้องชําระค่าใช้จ่ายในการที่รถถูกเคลื่อนย้ายหรือการใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้าย
ตลอดจนค่าดูแลรักษารถระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานจราจร
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้
ตามอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวง
2. ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะขับขี่รถยนต์
และต้องจัดให้คนโดยสารรถยนต์รัดร่างกายไว้กับที่นั่งด้วยเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารรถยนต์
และคนโดยสารรถยนต์ดังกล่าวต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะโดยสารรถยนต์ด้วย
3. ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตําแหน่งตั้งแต่สารวัตรขึ้นไปมีหนังสือแจ้งการไม่ปฏิบัติตามใบสั่งและจํานวนค่าปรับที่ค้างชําระให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ครบกําหนดชําระค่าปรับตามที่ระบุในใบสั่ง
และให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถทําการชําระค่าปรับที่ค้างชําระด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตามมาตรา 141 ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง การแจ้งตามวรรคหนึ่ง
ให้ทําเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้ผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถ
แล้วแต่กรณี ณ ภูมิลําเนาของผู้นั้น ทั้งนี้
ตามแบบที่ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติกําหนด และให้ถือว่าผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถได้รับแจ้งเมื่อพ้นกําหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ส่ง
4. ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถคันใดไม่ชําระค่าปรับตาม (3)
ให้ดำเนินการ
ดังต่อไปนี้
(ก) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งจํานวนค่าปรับที่ค้างชําระพร้อมหลักฐานตาม
(3)
ไปยังนายทะเบียน และให้นายทะเบียนตรวจสอบข้อมูลและแจ้งให้ผู้มาติดต่อขอชําระภาษีประจําปีสําหรับรถคันนั้นทราบ
เพื่อไปชําระค่าปรับที่ค้างชําระภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ถ้าผู้มาติดต่อขอชําระภาษีประจําปีเป็นเพียงตัวแทนเจ้าของรถ
ให้ผู้มาติดต่อแจ้งให้เจ้าของรถทราบเพื่อไปชําระค่าปรับภายในระยะเวลาดังกล่าว
ในการนี้ให้นายทะเบียนรับชําระภาษีประจําปีสําหรับรถคันนั้นไว้โดยออกหลักฐานชั่วคราวแทนการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจําปีให้เจ้าของรถหรือตัวแทนเจ้าของรถแทน
หลักฐานชั่วคราวตามวรรคหนึ่งให้ใช้แทนเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจําปีโดยให้มีอายุสามสิบวันนับแต่วันที่นายทะเบียนได้ออกให้
(ข) ในกรณีที่เจ้าของรถได้ชําระค่าปรับที่ค้างชําระครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่กําหนด
ใน (ก)
ให้เจ้าของรถหรือตัวแทนเจ้าของรถนําหลักฐานแสดงการชําระค่าปรับที่ได้รับจากพนักงานเจ้าหน้าที่
มาแสดงต่อนายทะเบียนเพื่อให้ออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจําปีสําหรับรถคันนั้น
(ค) ในกรณีที่เจ้าของรถหรือตัวแทนเจ้าของรถที่ได้รับหนังสือแจ้งตาม
(ก) ประสงค์จะชําระค่าปรับในวันที่มาติดต่อขอชําระภาษีประจําปี
ให้นายทะเบียนมีอํานาจรับชําระค่าปรับตามจํานวนที่ค้างชําระแทนได้ โดยให้นายทะเบียนรับชําระภาษีประจําปีสําหรับรถคันนั้นและออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจําปีให้เจ้าของรถหรือตัวแทนเจ้าของรถ
(ง)
ในกรณีที่เจ้าของรถไม่ชําระค่าปรับที่ค้างชําระหรือชําระไม่ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนดใน
(ก) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งนายทะเบียนให้งดการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจําปีสําหรับรถคันนั้น
และแจ้งให้พนักงานสอบสวนดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไป
ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถผู้ใดเห็นว่า
ตนมิได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถนั้น
ให้ทําหนังสือโต้แย้งข้อกล่าวหานั้นภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียนตาม (ก)
ส่งไปยังสถานที่ที่ระบุไว้ในใบสั่งหรือสถานที่ที่ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ทั้งนี้ การทําหนังสือโต้แย้งให้ใช้วิธีส่งทางไปรษณีย์ตอบรับหรือสํานักงานตํารวจแห่งชาติจะกําหนดวิธีการอื่นใดด้วยก็ได้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานจราจรได้รับหนังสือโต้แย้งตามวรรคสอง
หากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานจราจรยังคงยืนยันและเห็นสมควรดําเนินคดีต่อผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถผู้นั้น
ให้ส่งเรื่องไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อดําเนินการฟ้องต่อศาลต่อไป
แล้วแจ้งผลให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถทราบ
เมื่อได้มีการชําระค่าปรับครบถ้วนถูกต้องแล้ว ให้คดีเป็นอันเลิกกัน
และในกรณีที่มีการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้
ให้ผู้ขับขี่นําหลักฐานการชําระค่าปรับไปขอรับใบอนุญาตขับขี่คืนจากพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เรียกเก็บ
ทั้งนี้ ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่คืน
ให้ถือว่าหลักฐานแสดงการชําระค่าปรับเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่มีกําหนดสิบวันนับแต่วันที่ชําระค่าปรับ
การรับชําระและการนําส่งเงินค่าปรับให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกกําหนด
เงินที่ได้รับตามวรรคหนึ่ง (ก) ให้อธิบดีกรมการขนส่งทางบกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
หักไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บหรือค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานในอัตราร้อยละห้าของจํานวนเงินที่ได้รับ
โดยให้นําไปใช้จ่ายได้เช่นเดียวกับเงินงบประมาณตามระเบียบที่อธิบดีกรมการขนส่งทางบกกําหนด
ส่วนเงินที่เหลือให้นําส่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ การดําเนินการใดๆ
ของพนักงานเจ้าหน้าที่และนายทะเบียนตามมาตรานี้ สามารถใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
หรือวิธีการอื่นใดตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติและกรมการขนส่งทางบกกําหนด
5. บทบัญญัติในมาตรา 141/1 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งนี้
มิให้ใช้บังคับกับใบสั่งที่เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้
ก่อนวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ โดยให้นําบทบัญญัติในมาตรา 141 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก
(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2535
ที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับ
มาใช้บังคับกับใบสั่งดังกล่าว
6. ในกรณีเห็นสมควรนายกรัฐมนตรี
หรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้
7. คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 21 มีนาคม พุทธศักราช 2560
พลเอก ประยุทธ์
จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
|